Menu
เชื่อเลยว่าในเวลานี้ไม่มีใครไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Vivo หรือ วีโว่ นั่นเอง สาเหตุที่มือถือยี่ห้อนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนั้นเป็นเพราะแบรนด์ วีโว่ ได้ผลิตสมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพดี กล้องว้าว และที่สำคัญมือถือจากค่าย Vivo ราคาถูก สเปกคุ้มค่า ออกมาวางขายบนท้องตลาดหลายต่อหลายรุ่นด้วยกัน ทั้งรุ่นในราคาหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น ใครที่กำลังมองหามือถือวีโว่ดี ๆ คุ้ม ๆ สักเครื่องไว้ใช้งานแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อวีโว่รุ่นไหนดี ในบทความนี้เราได้รวบรวม 10 รุ่นที่ดี คุ้มค่าและน่าใช้ในราคาตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นต้น ๆ มาให้เลือกกันว่ามือถือ Vivo รุ่นไหนดี รุ่นไหนจะเหมาะสมและตรงใจมากที่สุด
เริ่มกันด้วยมือถือราคาถูกในตระกูล Y-Series หน้าจอใหญ่ขนาด 6.22 นิ้ว ดีไซน์ไร้ขอบแบบ Halo FullView Display มีคุณสมบัติเด่นคือขอบด้านข้างของจอจะบางมาก พร้อมรอยบากทรงหยดน้ำ มีพื้นที่การแสดงผล 88.6% ของหน้าจอ ให้มุมมองที่มากกว่า ส่วนด้านหลังดีไซน์ตัวเครื่องแบบ 3D โค้งมน พร้อมใช้เทคโนโลยีในการเคลือบผิววัสดุให้มีความเงางาม ในรุ่นนี้มีสีให้เลือก 2 สี นั่นคือ Fusion Black และ Sunset Red มีการไล่เฉดสีที่ฝาหลังได้อย่างสวยงาม ใช้ชิพเซ็ตประมวลผล (CPU) ของ MediaTek MT6762r ซึ่งความแรงเทียบเคียงกับ Snapdragon 450 ความจำในตัวเครื่อง 32 GB แรม 2 GB สามารถรองรับเมมโมรี่ MicroSD ได้สูงสุดถึง 256 GB ทำให้การใช้งานทั่วไปหรือการเล่นเกมได้ดี เช่นเกม Pubg mobile, Call of duty Mobile, ROV, Among us และ Freefire เล่นได้ลื่นไหล มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุด 4,000 แอมป์ ใช้งานได้ยาวนาน
กล้องถ่ายรูปของรุ่นนี้มีกล้องหน้าและกล้องหลังอย่างละตัว กล้องหลังมีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และมีโฟกัสอัตโนมัติ PDAF ไฟแฟลช LED พร้อมโหมดถ่ายภาพหลากหลาย ทั้งโหมดมาตรฐาน, โหมดมือโปร,โหมด Face Beauty และโหมด AI ซึ่งในโหมดนี้จะช่วยในการปรับแต่งภาพให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ ในการถ่ายวีดีโอมีความคมชัด 1080p / 30 fps ถ้าใช้ในที่มีแสงสว่างเพียงพอก็ถือว่าทำออกมาได้สวยและคมชัด หากถ่ายในที่แสงน้อยทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หรือคน/วัตถุอยู่ในระยะไกลก็จะทำให้มีรายละเอียดที่ลดลง มากันที่กล้องหน้ามีความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Face Beauty ที่สามารถปรับและเพิ่มฟิลเตอร์แต่งภาพสวยได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยรวมแล้วมือถือรุ่นนี้ก็ทำออกมาได้สมราคาดี คุ้มค่าในราคาหลักพันบาท
สเปคของ Vivo Y91C
– หน้าจอขนาด 6.22 นิ้ว ความละเอียด HD+ แบบ Halo FullView Display
– ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek MT6762R
– Ram 2GB
– ความจุภายในเครื่อง 32GB เพิ่มเมมโมรี่การ์ด microSD สูงสุดถึง 256 GB
– กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
– กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
– มีสีให้เลือก 2 สีได้แก่ Fusion Black (ดำ) และ Sunset Red (แดง) แบบฝาหลังไล่เฉดสีสวยงาม
– แบตเตอรี่ความจุ 4000 มิลลิแอมป์
ข้อดี
– ราคาถูก สเปกสมราคา
– หน้าจอใหญ่ 6.22 นิ้ว
– มีพื้นที่การแสดงผล 88.6%
– สเปกเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปและเล่นเกมมือถือ
– มีช่องเสียบหูฟังปลั๊ก 3.5 mm.
– รองรับ Face ID ปลดล็อกด้วยใบหน้า
– ใช้งานได้นาน ความจุแบตเตอรี่ 4,000 มิลลิแอมป์
– ถาดใส่ซิมการ์ด 2 ช่อง และใส่เมมการ์ด microSD ได้
ข้อเสีย
– การถ่ายรูปแบบแสงน้อยยังไม่ดีเท่าที่ควร
– หน้าจอแสดงผลในระดับ HD
– วัสดุตัวเคสเป็นพลาสติก
– ไม่แถมหูฟังมาให้ ต้องหาซื้อเอง
– ไม่มีแสกนลายนิ้วมือ
– ไม่รองรับแบบชาร์จเร็ว
– กันน้ำไม่ได้
ราคา 2,890 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : shopee.co.th
สำหรับรุ่นนี้หน้าจอจะใหญ่กว่ารุ่น Vivo Y91C มานิดนึง โดยรุ่นนี้มีหน้าจอแสดงผล LCD ขนาด 6.35 นิ้ว Halo Fullview Display ทำให้ตรงขอบตัวเครื่องบางสุด ๆ รองรับความละเอียด HD+ แสดงผลเต็มที่สำหรับการดูหนัง ฟังเพลง ดูซีรี่ส์และเล่นเกมได้ดี เช่น ROV, Freefire, Among us Pubg mobile และ Call of duty Mobile เป็นต้น หน้าจอรอยบากทรงหยดน้ำ ดีไซน์ตัวเครื่องเรียบหรู มีการออกแบบสีที่ฝาหลังแบบไล่เฉดสี สำหรับสเปคเครื่อง Y11 นี้ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 439 ความเร็ว 1.95 GHz ใช้แรม 3 GB มีหน่วยความจำในตัวเครื่อง 32 GB รองรับ Dual SIM ใช้งานได้ยาวนานเพราะให้แบตเตอรี่มาถึง 5,000 มิลลิแอมป์ รุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็วและยังมีโหมดประหยัดแบตฯ ด้วย
ส่วนของกล้องถ่ายรูปที่ด้านหลังมีจำนวน 2 ตัว กล้องหลักมีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และมี Depth Camera เพิ่มมิติและความคมชัดมากขึ้น ความละเอียดอยู่ที่ 2 ล้านพิกเซล เลือกโหมดการถ่ายภาพได้ มีทั้งแบบมาตรฐาน, โหมดมือโปรและโหมด AI Face Beauty โหมดนี้ใช้สำหรับกล้องหน้า ทำหน้าที่ในการปรับภาพให้เหมาะสมและเป็นธรรมชาติ มีการรักษาความปลอดภัยของเครื่องด้วยการปลดล็อกผ่านการแสกนนิ้ว เรียกได้ว่าสเปคคุ้มค่าเหมาะกับการใช้งานทั่วไปและเล่นเกมเลยทีเดียว ตัวเครื่องมีความบางเบา หนักเพียง 190 กรัมเท่านั้น จะเล่นเกมก็ดี แชทก็ได้ ไม่หนัก ไม่เมื่อยมือ
สเปคของ Vivo Y11
– รองรับการใช้งานได้ 2 SIM
– ปลดล็อกหน้าจอด้วยการสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
– หน้าจอ 6.35 นิ้ว LCD แบบ Halo FullView Display
– ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 439 แบบ Octa-Core Processor 1.95 GHz
– แรม 3 GB
– ความจุภายในตัวเครื่อง 32GB
– กล้องหน้า 1 ตัว ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
– กล้องหลัง 2 ตัว 13 ล้านพิกเซลและ 2 ล้านพิกเซล
– แบตเตอรี่ความจุ 5000 มิลลิแอมป์
– น้ำหนักเบาเพียง 190 กรัม
ข้อดี
– ราคาถูก สเปกเหมาะสมกับราคา
– ตัวเครื่องดีไซน์สวยงาม มีการไล่เฉดสีที่ฝาหลัง
– มีพื้นที่แสดงผลถึง 89% ใช้งานได้เต็มตา
– ตัวเครื่องและขอบจอบางแบบ Halo FullView Display
– มีระบบ Ultra Game ช่วยให้เล่นเกมอย่างต่อเนื่องและลื่นไหล ระบบยังช่วยล็อกการแจ้งเตือนและไม่ให้โทรเข้ามารบกวนระหว่างเล่นเกมได้
– ถาดช่องซิมสามารถใส่ซิมได้ 2 ซิมและใส่ microSD การ์ดได้
– กล้องหลังคู่ 13 ล้านพิกเซลและ 2 ล้านพิกเซล
– โหมดการถ่ายภาพที่หลากหลายต่อการใช้งานและมีโหมด AI Face Beauty ช่วยปรับภาพให้เหมาะสมเป็นธรรมชาติแบบอัตโนมัติ
– ปลดล็อคเครื่องได้โดยการสแกนลายนิ้วมือได้หลังตัวเครื่องและการแสกนใบหน้า
– น้ำหนักเบา 190 กรัม
– มีช่องเสียบหูฟังแจ็ค 3.5 mm.
– ใช้งานได้ยาวนานแบตเตอรี่ 5,000 มิลลิแอมป์
ข้อเสีย
– หน้าจอมีความละเอียดแค่ระดับ HD+
– ไม่รองรับ Wifi แบบ 5G
– ตัวเครื่องร้อนง่าย เมื่อใช้เป็นเวลานาน
– ไม่แถมหูฟัง ต้องซื้อเอง
– ไม่รองรับ Fast charge
– ถ่ายรูปในที่แสงน้อยหรือช่วงกลางคืนไม่ค่อยชัด
ราคา 3,999 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : shop.vivo.com
เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีการออกแบบมาอย่างลงตัว ด้วยการดีไซน์ 2.5 D ทำให้ตัวเครื่องมีส่วนโค้งมนสวยงาม มีขอบข้างที่บางและตัวเครื่องน้ำหนักเบา จับกระชับมือ ตรงฝาด้านหลังมีการออกแบบลวดลายและรายละเอียดมาให้มีความเงางาม ด้านความปลอดภัยมีการแสกนใบหน้าและแสกนลายนิ้วมอเพื่อปลดล็อกหน้าจอ สำหรับรุ่นนี้จะมีกิมมิกอยู่ตรงที่ปุ่มแสกนลายนิ้วมือ ซึ่งจะอยู่ตรงขอบข้างโทรศัพท์นั่นเอง โดยทาง Vivo เคลมไว้ว่ารุ่นนี้จะใช้เวลาในการปลดล็อกหน้าจออยู่ที่ 0.22 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมาก ๆ เรียกได้ว่ากระพริบตายังนานกว่าเลย ส่วนหน้าจอมีขนาด 6.5 นิ้ว HD+ เป็นจอแสดงผลแบบ Halo FullView Display มาพร้อมกับฟิลเตอร์กรองแสงสีฟ้า ช่วยปกป้องสายตาในระหว่างใช้งาน จะแชท เล่นเกม ดูหนังนานแค่ไหนก็ไม่แสบตา ลดการเกิดอาการตาอักเสบและลดการเกิดปัญหาทางด้านการมองเห็นได้ ด้านอัตราส่วนของจอแสดงผลนั้นอยู่ที่ 20:9 ให้มุมมองที่กว้างมากขึ้น ในส่วนของปุ่ม Home, Back หรือเมนูที่อยู่ด้านล่างนั้นจะไม่มีแล้ว ปุ่มเหล่านี้จะถูกย้ายไปไว้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าจอเลย
มาถึงในส่วนของกล้องถ่ายรูป สำหรับกล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว กล้องหลักมีความละเอียดเลนส์ 13 ล้านพิกเซล, เลนส์โบเก้ (Bokeh) สำหรับการถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอ มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ Super macro ใช้สำหรับถ่ายวัตถุที่อยู่ใกล้ที่สุดในระยะ 4 เซนติเมตร มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล มาพร้อมโหมดถ่ายรูปหลายฟังก์ชัน Face beauty, Selfie filter และ Portrait light effects มีโหมด HDR ที่ช่วยให้ถ่ายในที่ที่มีแสงน้อยได้ชัดเจนขึ้น ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ถ่ายวีดีโอด้วยความละเอียด Full HD ด้านสเปคภายในของเครื่องใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 420 มาพร้อม Ram 4 GB และหน่วยความจำในเครื่อง 64 GB ถือว่าใช้งานได้รวดเร็ว ลื่นไหล ไม่มีสะดุด ความจุแบตเตอรี่ 5,000 มิลลิแอมป์ ใช้งานยาว ๆ กันไปเลย ออกไปเที่ยวนอกบ้านแบบไม่ชาร์จทั้งวันยังไหว และยังมี Jovi เป็นผู้ช่วยการใช้งานอัจฉริยะ เหมือนกับ Siri ใน Apple และ Cortana ในระบบ Windows นั่นเอง ตัว Jovi นี้จะสามารถเรียกใช้สำหรับการตั้งค่าต่าง ๆ ในเครื่องได้ เช่น การตั้งค่าความเข้มแสงของหน้าจอ แจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ รวมถึงอัพเดทข่าวสารได้ด้วย
เสปคของ Y20
– หน้าจอ 6.5 นิ้ว แบบ Halo FullScren มีความละเอียด HD+ อัตราส่วนหน้าจอ 20:9
– ระบบสแกนลายนิ้วมือด้านข้างตัวเครื่อง
– ปลดล็อกหน้าจอด้วยการแสกนใบหน้า
– โหมดแต่งภาพหลากหลังฟังก์ชัน
– เพิ่มหน่วยความจำ Micro SD Card ได้สูงสุด 256 GB
– กล้องหลังจำนวน 3 ตัว กล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล, Bokeh 2 ล้านพิกเซล และ Super Macro 2 ล้านพิกเซล
– มีโหมด HDR รองรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย
– ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 420
– ใช้หน่วยประมวลผลภาพ 3D
– ถ่ายวิดีโอด้วยความละเอียดแบบ Full HD
– แบตเตอรี่ความจุ 5,000 มิลลิแอมป์
– รองรับการเชื่อมต่อ Wifi 5G
– มีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi
– มีวิทยุ FM ในตัว
– ถาดซิมการ์ด Triple slot ใส่ซิมได้ 2 ซิม และ Micro SD Card 1 ช่อง
– น้ำหนักตัวเครื่อง 192 กรัม
ข้อดี
– หน้าจอใหญ่ มีอัตราส่วนการแสดงผลที่ 20:9
– มีระบบการกรองแสงสีฟ้า ช่วยถนอมสายตา
– สแกนปลดล็อกเครื่องได้รวดเร็วเพียง 0.22 วินาที
– รองรับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า
– การออกแบบที่ฝาหลังสวยงาม มี texture ที่เงางาม สะดุดตา
– ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 420 ใช้งานได้ลื่นไหล ไม่สะดุด
– มีโหมด HDR ช่วยถ่ายภาพได้คมชัดแม้อยู่ในที่แสงน้อยหรือช่วยกลางคืน
– กล้องหลังจำนวน 3 ตัว ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยงามและตอบโจทย์การใช้งานได้ดีขึ้น
– ถ่ายวีดีโอได้แบบ Full HD
– มีโหมด Ultra game mode ช่วยกันไม่ให้มีสิ่งมารบกวนขณะเล่นเกม
– โหมดพิเศษสำหรับเกมเมอร์ Ultimate Esports ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องให้เล่นเกมได้ลื่นไหลมากขึ้น
– แถมหูฟังแบบไร้สาย
– มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.55 มิลลิเมตร
– มีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi และ iManager สำหรับจัดการข้อมูล
– ใช้งานพร้อมกันได้ถึง 2 หน้าจอ
– แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้นาน ความจุ 5,000 มิลลิแอมป์
ข้อเสีย
– ไม่รองรับระบบชาร์จเร็ว
– กันน้ำไม่ได้
– ยังใช้พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Micro USB 2.0 อยู่
ราคา : 4,999 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : goods.co.th
สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมดีไซน์ที่โดดเด่นและแปลกตาไม่เหมือนใคร ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซปต์ Diamond Pattern อาศัยการไล่สีน้ำเงินและสีม่วงสวยงามที่ฝาหลังของเครื่อง ตัวหน้าจอแสดงผล Halo FullView Display แบบ Super Amoled ขนาด 6.38 นิ้ว Full HD+ มีพื้นที่ใช้งานบนหน้าจอมากถึง 89.98% มีการรักษาความปลอดภัยด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือได้บนหน้าจอ ใช้ชิปเซ็ต CPU Helio P65 Octa-core 2.0 GHz Ram 6 GB ความจำในตัวเครื่อง 128 GB และแบตเตอรี่ 4500 มิลลิแอมป์ เสปกนี้สามารถใช้งานได้ตั้งแต่งานทั่วไป แชท ถ่ายรูป เล่นเกม ถือว่าทำได้ดี เช่นเกม Pubg mobile, Call of duty Mobile, Among us, Freefire และ ROV เป็นต้น รุ่นนี้ยังสามารถปรับโหมด Ultra game คือโหมดปรับสุดนั่นเอง เป็นโหมดที่ใช้ประสิทธิภาพเครื่องประมวลผลให้เล่นเกมได้ดีที่สุดและล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ รวมถึงไม่ให้มีการโทรเข้า-ออกได้ด้วย ให้ผู้ใช้งานได้อรรถรสในการเล่นเกมแบบเต็ม ๆ โหมดนี้ถูกใจและเอาใจคอเกมออนไลน์มาก ๆ เลย
ส่วนตัวกล้อง ที่กล้องหน้ามีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ความชัดระดับ Ultra HD มีโหมดมาตรฐาน, โหมดมืออาชีพ, AI Face Beauty, AI Filter และโหมดอื่น ๆ ที่ทำให้ภาพถ่ายสวยและเป็นธรรมชาติ กล้องหลัง 3 ตัว พร้อมเซ็นเซอร์กล้อง Sony IMX499 เลนส์ Ultra Wide เก็บรายละเอียดได้กว้าง 120 องศา และเลนส์ Depth ให้ภาพมีรายละเอียดมิติที่คมชัดมากขึ้น มีโหมด AI Portrait Framing ช่วยจัดองค์ประกอบของภาพได้ด้วย
สเปคของ Vivo S1
– หน้าจอใหญ่ ขนาด 6.38 นิ้ว Full HD+ Super AMOLED
– มี censor ให้สแกนลายนิ้วมือได้ที่หน้าจอ
– ใช้ชิปเซ็ต CPU Helio P65
– ตัวการ์ดแสดงผล GPU Mali-G52 MC2
– แรม 4 GB / 6 GB
– พื้นที่ความจำในเครื่อง 128 GB รองรับ MicroSD Card ได้สูงสุด 256 GB
– กล้องหลัง 3 ตัว ตัวกล้องหลัก 16 ล้านพิกเซล / ตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide 8 ล้านพิกเซล / ตัวที่สาม Depth Sensor 2 ล้านพิกเซล
– กล้องหน้าเซลฟี่ 32 ล้านพิกเซล มีโหมด AI Selfie Camera
– สามารถปลดล็อกได้ที่หน้าจอหรือปลดล็อกด้วยใบหน้า
– แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh รองรับชาร์จไว
– มีช่องหูฟังแจ็ค 3.5 มิลลิเมตร
– ใช้พอร์ต Micro usb 2.0
– น้ำหนักเครื่อง 179 กรัม
ข้อดี
– สวยงามเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
– หน้าจอใหญ่ 6.38 นิ้ว
– ตัวกล้องหลังใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX499 ทั้ง 3 ตัว
– กล้องหลัง 3 ตัว ตัวหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
– มี Ultra Wide และ Depth camera ให้การถ่ายภาพทำได้ง่าย มุมกล้องเก็บรายละเอียดได้ดี ให้ภาพมีมิติ
– มีโหมด Ultra game ช่วยให้เล่นเกมได้ดีและลื่นขึ้น รวมถึงมีการล็อกไม่ให้มีสิ่งรบกวนระหว่างเล่นเกม
– ขอบข้างมีความบาง
– เอาใจสายชอบเซลฟี่ มีโหมด AI Selfie Camera
– แบตอึด 4,500 ใช้งานได้ยาวนาน
– ตัวเครื่องบาง มีน้ำหนักเบา
– มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม
– แสกนนิ้วได้บนหน้าจอ
– ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา
ข้อเสีย
– ไม่มีโหมดถ่ายภาพแบบแสงน้อยหรือโหมดกลางคืนมาให้
– ยังใช้พอร์ต Micro usb 2.0 อยู่
– วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องและฝาหลังมีความเงาและมันวาว ทำให้เกิดรอยนิ้วมือหรือเปื้อนได้ง่าย
– หน้าจอแสดงผลอาจจะยังไม่สามารถรองรับได้ทุกแอพพลิเคชันทั้งหมดได้
ราคา : 5,500 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : lazada.co.th
มาถึงอีกหนึ่งรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายรูปแบบและดีไซน์ที่สวยงาม หน้าจอใหญ่ขนาด 6.53 นิ้ว แบบ Ultra O Screen คมชัดระดับ Full HD+ มีพื้นที่แสดงผลบนหน้าจอสูงถึง 90.77% ทำให้ดูหนัง-ซีรี่ส์ หรือ Youtube ก็ชัดเต็มตา แทบไม่มีอะไรมาบดบังหน้าจอ การดีไซน์ตัวเครื่องถูกออกแบบมาภายใต้คอนเซปต์ Dazzling 3D Colors ตัวเครื่องด้านหลังมีการไล่เฉดสีสวยงามเป็นประกาย สัดส่วนของเครื่องถูกออกแบบให้โค้งมนและมีตัวเครื่องที่บาง น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ด้านในมีการใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 665 แรม 8 GB ความจำในตัวเครื่อง 128 GB มีระบบ Multi Turbo 3.0 เป็นการนำ AI Turbo มาช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้มากถึง 20% และยังสามารถลดปัญหาของแอพพลิเคชั่นในการใช้งานได้ถึง 80% ยังมีฟังก์ชั่นสำหรับคอเกมมาให้ด้วย นั่นคือ Ultra game mode ช่วยล็อกไม่ให้โทรศัพท์แจ้งเตือนขณะเล่นเกมและไม่ให้คนโทรเข้ามาได้ เพื่อให้เล่นเกมได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งรบกวน ตัวแบตเตอรี่มีความจุ 5,000 มิลลิแอมป์ ใช้งานได้ต่อเนื่อง จะแชท ดูหนัง ดูซีรี่ส์ ฟังเพลง เล่นเกมส์ก็ลื่นไหลและใช้งานได้ยาวนาน แม้ออกไปเที่ยวนอกบ้านก็ใช้งานได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จเลย
รุ่นนี้มาพร้อมกล้องหลังถึง 4 ตัว โดยตัวกล้องหลักมีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ต่อมาเป็นเลนส์ Super wide angle ให้ความละเอียดถึง 8 ล้านพิกเซล ถ่ายในมุมกว้างได้ 120 องศา ต่อมาเป็นเลนส์มาโคร (Macro) มีความละเอียดอยู่ที่ 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ Bokeh ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับถ่ายภาพบุคคล สำหรับ Y50 นี้มีโหมดแสงน้อยหรือโหมดถ่ายภาพกลางคืน Super night camera ด้วย ช่วยให้ภาพคมชัดขึ้นและลดค่า noise ลงได้ โดยสามารถใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ยังไม่หมดแค่นั้นการถ่ายวีดีโอก็มีโหมด Ultra Stable VDO ช่วยลดการสั่นของภาพ ทำให้การถ่ายวีดีโอดูเหมือนใช้กล้องระดับโปรในการถ่ายเลยทีเดียว
สเปคของ Y50
– หน้าจอแสดงผลขนาด 6.53 นิ้ว Ultra O Screen Full HD+
– ชิปเซ็ตประมวลผล: Qualcomm Snapdragon 665 2.0 GHz
– GPU : Adreno 610
– Ram 8 GB ความจำตัวในตัวเครื่อง 128 GB
– กล้องหลัง 4 ตัว 13 ล้านพิกเซล / 8 ล้านพิกเซล (เลนส์ Ultra wide) / 2 ล้านพิกเซล (เลนส์ Macro) / 2 ล้านพิกเซล (Censor สำหรับวัดระยะ)
– แบตเตอรี่ความจุ 5,000 มิลลิแอมป์
– รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Fast charge
– มีระบบปลดล็อกด้วยการแสกนลายนิ้วมือและแสกนใบหน้า
– มีช่องเสียงหูฟัง 3.5 มม
– น้ำหนัก 197 กรัม
ข้อดี
– มีกล้องหลัง 4 ตัว ให้ภาพสวยคมชัด
– มี Night mode ช่วยถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือกลางคืน
– เลนส์ Bokeh ใช้งานได้ดีเกินคาด และเลนส์ Ultra Wide ช่วยให้เก็บรายละเอียดในภาพได้ถึง 120 องศา
– รองรับการดูหนังผ่านแอพพลิเคชั่นที่ใช้ความละเอียดสูง
– การสัมผัสหน้าจอมีความลื่นและมีความสเถียร
– มีโหมดสำหรับเกมเมอร์ Ultra game mode ช่วยให้เล่นเกมได้ต่อเนื่องไม่มีสิ่งรบกวน
– ถ่ายวีดีโอได้แบบมือโปรด้วย Ultra stable VDO ทำให้ภาพที่ได้ดูนิ่งขึ้นแม้มือจะสั่นหรือวัตถุเคลื่อนที่ก็ตาม
– มีโหมด Multi Turbo 3.0 ช่วยในการจัดการและแก้ไขปัญหาแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่กำลังใช้อยู่ได้ดี
– พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type C
– แบตเตอรี่อึด ใช้ได้ยาวนาน
ข้อเสีย
– วัสดุที่ใช้ผลิตค่อนข้างบอบบาง
– ไม่แถมหูฟังมาให้ต้องหาซื้อเอง
– ไม่รองรับชาร์จเร็ว Fast charge
– ไม่สามารถกันน้ำได้
– ตัวเครื่องมีน้ำหนักมาก
ราคา : 6,390 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : jd.co.th
สำหรับรุ่น V19 รุ่นนี้เป็นรุ่นที่น่าสนใจมาก ๆ มีราคาค่าตัวที่ไม่แพงจนเกินไปนัก ที่ว่าน่าสนใจเพราะมีกล้องหน้าคู่ โดยที่กล้องหน้าหลักมีความละเอียดถึง 32 ล้านพิกเซลและ เลนส์ Super wide angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มาพร้อมโหมด Super night Selfie ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยและช่วงกลางคืนได้คมชัดขึ้นและยังมีฟังก์ชันถ่ายภาพอื่น ๆ ที่โดนใจอีกด้วย มากันที่กล้องหลัง มีจำนวน 4 ตัว ตัวกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล, เลนส์ Wide angle ให้มุมมองรายละเอียดที่กว้างขึ้น มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, เลนส์โบเก้ (Bokeh) สำหรับถ่ายภาพบุคคลหรือวัตถุแบบหน้าชัดหลังเบลอ มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ Macro ใช้สำหรับถ่ายวัตถุที่อยู่ในระยะใกล้สุด 4 เซนติเมตร มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และมีแฟลช LED อีกด้วย สามารถถ่ายวีดีโอได้ด้วยความละเอียดระดับ 4K เลยทีเดียว กล้อง 6 ตัวจัดเต็มขนาดนี้สายเซลฟี่หรือสายโฟโต้ไม่ควรพลาดอย่างแรง
ในส่วนของหน้าจอนั้นมีขนาด 6.4 นิ้ว แบบ Super Amoled มีความละเอียด Full HD+ แบบ Ultra O Screen มีเทคโนโลยีกรองแสงสีฟ้าได้ถึง 42% ช่วยถนอมสายตาในระหว่างใช้งานได้ดีทีเดียว ด้านระบบชิพเซ็ตประมวลผลใช้ Qualcomm Snapdragon 712 และ Ram 8 GB หน่วยความจำในเครื่อง 128 GB รองรับความจำภายนอกจาก Micro SD Card ได้ 256 GB เสปกเร็ว แรง ใช้งานทั่วไปและเล่นเกมได้ลื่นไหล ไม่มีสะดุด ตัวเครื่องถูกดีไซน์แบบ 3D โค้งมนสวยงาม จับถนัดเหมาะกับฝ่ามือ ฝาหลังมีการออกแบบสวยงาม ดูพรีเมี่ยม หรูหรา มาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกเครื่องและมีที่สแกนนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง ความจุแบตเตอรี่ 4,500 มิลลิแอมป์ สำหรับรุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็ว 33W FlashCharge 2.0 ด้วย โดยใช้หัวเชื่อมต่อแบบ USB Type C มีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Jovi สำหรับเรียกใช้คำสั่งต่าง ๆ ของเครื่องอย่างง่ายดาย Vivo V19 ยังเอาใจคอเกมเหมือนเดิม โดยมีโหมด Ultra Game ช่วยปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ ให้ผู้ใช้ได้เล่นเกมอย่างไร้กังวล น้ำหนักตัวเครื่อง 186 กรัม ถือว่ามีน้ำหนักที่พอดี ใช้งานได้ยาวนานไม่เมื่อยมือ
สเปกของ Vivo V19
– หน้าจอขนาด 6.44 นิ้ว Full HD+ Ultra O Screen
– มีเทคโนโลยีกรองแสงสีฟ้า ช่วยถนอมสายตา
– ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 712
– การ์ดจอ GPU Adreno 616
– Ram 8 GB หน่วยความจำภายใน 128 GB
– รองรับเมมโมรี่การ์ด Micro SD สูงสุด 256 GB
– เชื่อมต่อด้วยพอร์ต USB Type C 2.0
– ระบบระบายความร้อน Copper Tube Liquid Cooling
– ปลดล็อกหน้าจอได้ด้วยการสแกนใบหน้าและลายนิ้วมือ
– ถาดซิมการ์ดเป็นแบบ Triple slot ใส่ได้ 2 ซิม 1 Micro SD Card
– กล้องหลังจำนวน 4 ตัว กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล, เลนส์ Super wide angle 8 ล้านพิกเซล, เลนส์ Bokeh 2 ล้านพิกเซล และ Super macro 2 ล้านพิกเซล
– กล้องหน้าจำนวน 2 ตัว กล้องหลักความละเอียด 32 ล้านพิกเซลและเลนส์ Super wide angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
– มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้หลากหลาย
– มีโหมดสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ
– แบตเตอรี่ความจุ 4,500 มิลลิแอมป์
– รองรับเทคโนโลยีการชาร์จเร็ว 33W
– มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
– นํ้าหนัก : 186.5 กรัม
ข้อดี
– ถ่ายภาพในที่แสงน้อยและช่วงกลางคืนได้ดีมาก
– หน้าจอคมชัดระดับ Full HD+
– รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 33W
– ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 712
– มีระบบกรองแสงสีฟ้าช่วยให้ถนอมสายตาระหว่างใช้งาน
– มีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย
– มีโหมด HDR สามารถถ่ายภาพได้คมชัดแม้ในที่แสงน้อยหรือช่วงกลางคืน
– สแกนปลดล็อกหน้าจอได้ด้วยใบหน้าและลายนิ้วมือ
– Ultra Game โหมดนี้ช่วยให้เล่นเกมได้อย่างไม่สะดุดและไร้การรบกวน
– มีระบบผู้ช่วย Jovi ที่สามารถเรียกใช้งานคำสั่งต่าง ๆ ของเครื่องได้รวดเร็ว
– มีระบบระบายความร้อนแบบ Copper Tube Liquid Cooling
– แถมหูฟังปลั๊ก 3.5 มิลลิเมตร
ข้อเสีย
– ไม่กันน้ำ
– วัสดุที่ใช้เป็นพลาสติก
– ลำโพงแบบเดี่ยว
– ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
ราคา : 8,400 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : jd.co.th
สวยงามตั้งแต่ตัวกล่องกันเลยทีเดียวสำหรับรุ่น V20 แค่เห็นกล่องก็อยากเป็นเจ้าของกันแล้ว หน้ากล่องจะดีไซน์ให้เล่นกับแสง เมื่อตัวกล่องสะท้อนโดนแสงก็จะเป็นตัว V สวยงาม แค่ดีไซน์ตัวกล่องก็ว้าวแล้วในส่วนของดีไซน์ตัวเครื่องก็ว้าวไม่แพ้กัน ด้วยการผลิตจากเทคโนโลยี Ag matte glass และ AF จึงช่วยป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้อย่างดี รุ่นนี้มีหน้าจอขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ แบบ AMOLED อัตราส่วนการแสดงผล 20:9 คิดเป็น 83.7% ตัวเครื่องมีความบางและมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นอื่น โดยมีน้ำหนักที่ 172 กรัมเท่านั้น ส่วนสเปกเครื่องนั้นใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 720G ใช้ Ram 8 GB และหน่วยความจำภายในเครื่อง 128 GB รองรับหน่วยความจำภายนอก Micro SD Card สูงสุด 256 GB มาพร้อมระบบ Android 11 ครอบด้วย Funtouch OS 11 สามารถปลดล็อกหน้าจอได้โดยการสแกนใบหน้าหรือสแกนลายนิ้วมือได้ที่หน้าจอ
กล้องหน้ามีความละเอียดกว่า 44 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพด้วยคุณภาพระดับ HD พร้อมโหมด AF หรือการโฟกัสภาพแบบอัตโนมัติ จับโฟกัสออโต้ในระยะ 15 เซนติเมตรได้ชัดเจน มีระบบ Eye autofocus โหมดโฟกัสดวงตาอัตโนมัติ เป็นการทำให้ AI ระบุตำแหน่งดวงตาเพื่อจับโฟกัสได้ทั้งใบหน้า ภาพที่ถ่ายได้ออกมาก็สามารถเก็บรายละเอียดได้คมชัดมากกว่าเดิม และโหมด Selfie softlight band ถ่ายเซลฟี่ได้ดีแม้ในที่แสงน้อยและช่วงกลางคืน ยังไม่หมดแค่นี้ โหมดสำหรับกล้องหน้ายังมีอีก 3 โหมดแจ่ม ๆ สำหรับสายเซลฟี่นั่นก็คือ โหมด Style สำหรับการปรับหรือเลือกฟิลเตอร์โทนสีต่าง ๆ โหมด Face beauty ปรับรายละเอียดบนใบหน้า ทั้งความเนียนเรียบ สีผิว หรือปรับความเรียวของหน้าก็ทำได้สบาย ๆ และสุดท้ายเป็นโหมดการโพสต์ท่า โหมดนี้จะช่วย guide ท่าโพสต์ให้ มีหลายท่าให้เลือก สำหรับกล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว ตัวแรกเป็นกล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพชัดทั้งกลางวันและกลางคืน กล้องหลักนี้ยังได้รวมเลนส์ Super wide angle ไว้เป็นเลนส์เดียวกัน โดยให้มุมมองกว้างถึง 120 องศา เก็บรายละเอียดได้เยอะขึ้น ตัวที่ 2 เป็นเลนส์ Super macro และ เลนส์โบเก้ (Bokeh) รวมกันอยู่ในเลนส์เดียว ช่วยให้ถ่ายภาพในระยะใกล้ได้ชัดขึ้น และสุดท้ายเป็นเลนส์โมโน มีความละเอียดที่ 2 ล้านพิกเซล
สเปกของ V20
– ใช้ระบบ Android 11
– หน้าจอขนาด 6.44 นิ้ว แบบ Amoled
– ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 720G
– Ram 8 GB และหน่วยความจำในเครื่อง 128 GB
– กล้องหลัง 3 เลนส์ มีไฟแฟลช LED กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล, เลนส์ซุปเปอร์มาโครและโบเก้ 8 ล้านพิกเซล และเลนส์โมโน ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
– กล้องหน้าความละเอียด 44 ล้านพิกเซล
– ปลดล็อคเครื่องด้วยการสแกนใบหน้าหรือสแกนนิ้วมือ
– ความจุแบตเตอรี่ 4,000 มิลลิแอมป์
– รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 33W
– รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม
– น้ำหนัก 171 กรัม
ข้อดี
– ตัวเครื่องดีไซน์สวยงาม
– มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11
– ใช้งานกลางแจ้งได้ดี คมชัดแม้อยู่ในที่แสงจ้า
– สแกนลายนิ้วมือได้รวดเร็วและแม่นยำ
– หน้าจอ Amoled มีความละเอียด Full HD+
– มีระบบโฟกัสดวงตาอัตโนมัติ ทำให้ AI จับใบหน้าได้ทั้งหมด ส่งผลให้ภาพเซลฟี่ที่ออกมาคมชัดมากขึ้น
– มีโหมดปรับภาพสำหรับการเซลฟี่โดยเฉพาะ
– ถ่ายวีดีโอความละเอียดสูง 4K ได้
– ตัวเครื่องมีระบบกันสั่นในขณะถ่ายวีดีโอ
– มีโหมด Dual view VDO สามารถอัดวีดีโอได้พร้อมกันทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
– มีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้มากมาย
– ทนต่อรอยขีดข่วนและเกิดรอยนิ้วมือได้ยาก
– กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล มีความละเอียดสูง
– มีโหมดสำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยเฉพาะ
– ตัวเครื่องบาง เบา พวกพาสะดวก
– รองรับการชาร์จเร็ว 33W
– น้ำหนักเบาเพียง 171 กรัม
– รองรับหน่วยความจำภายนอก Micro SD Card สูงสุด 256 GB
– พอร์ตเชื่อมต่อเป็นพอร์ต USB Type C
– แถมหูฟัง
ข้อเสีย
– ไม่รองรับ 5G
– ไม่กันน้ำ
– ความจุแบตเตอรี่น้อย
ราคา : 8,980 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : lazada.co.th
หลังจากที่เราได้เห็นสเปกของรุ่น V20 กันไปแล้วนั้น ในรุ่น V20 Pro นี้จะมีอะไรที่คล้ายกันหรือพิเศษกว่าบ้างเรามาดูกันเลย เริ่มจากตัวฝาด้านหลังยังคงถูกผลิตโดยเทคโนโลยี AG matte glass เหมือนกัน ซึ่งสามารถลดการเกิดรอยนิ้วมือและทนต่อรอยขีดข่วนได้ดี มีการออกแบบตัวเครื่องแบบโค้งมน 2.5 D พอดีฝ่ามือ จับถนัด ถือง่าย จุดแตกต่างอย่างแรกเลยคือรุ่นนี้รองรับ 5G และยังถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ที่บางที่สุดในโลกอีกด้วย โดยมีความบางเพียง 7.39 มิลลิเมตรเท่านั้น ตัวจอแสดงผลเท่ากันกับรุ่น V20 คือ 6.44 นิ้ว แบบ Amoled ความละเอียดระดับ Full HD+ เสปกภายในเครื่องใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G ใช้แรม 8 GB และหน่วยความจำในเครื่อง 128 GB ด้วยประสิทธิภาพของ CPU นี้ทำให้สามารถรันภาพหรือเอฟเฟกต์ 3D หนัก ๆ ได้อย่างลื่นไหล รองรับการเล่นเกมฟอร์มใหญ่ได้ดีทีเดียว มีโหมดสำหรับเล่นเกมมือถือโดยเฉพาะและยังมีระบบการระบายความร้อน Vapor liquid chamber cooling อีกด้วย
ความแตกต่างต่อมาคือกล้องหน้าที่เป็นแบบกล้องคู่ กล้องหลักมีความละเอียด 44 ล้านพิกเซลและมีระบบโฟกัสดวงตาอัตโนมัติ ทำให้ AI จับโฟกัสที่ดวงตาและทั้งใบหน้า ทำให้ถ่ายเซลฟี่ได้คมชัดมากขึ้น และเลนส์ Super side angle เก็บรายละเอียดได้ 105 องศา ที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพที่เอาใจสายเซลฟี่โดยเฉพาะ เช่นโหมด Face beauty ช่วยปรับภาพใบหน้าให้เนียน ทำหน้าเรียวก็ได้ หรือจะเป็นโหมด Super night mode / Night selfie ช่วยให้เซลฟี่ได้สวยถูกใจแม้ในที่แสงน้อยหรือช่วงกลางคืน มากันที่กล้องหลังกันบ้าง ในส่วนของกล้องหลังนั้นมีกล้อง 3 ตัว ตัวแรกเป็นกล้องหลักรวมกับเลนส์ Wide ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ต่อมาจะเป็นการควบทั้ง 3 เลนส์มาอยู่ในเลนส์เดียว ประกอบไปด้วย Super wide angle, Super macro และ Light speckle bokeh เลนส์นี้มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และสุดท้ายเป็นเลนส์โมโน มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล จะสังเกตได้ว่ากล้องหลังจะมีการรวมเลนส์กันมากกว่าในรุ่น V20 ตรงกล้องหลังนี้นั่นเอง
สเปคของ V20 Pro
– หน้าจอขนาด 6.44 นิ้ว แบบ AMOLED Full HD+
– ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 765G Octa-core 2.4 GHz
– Ram 8 GB และหน่วยความจำภายในเครื่อง 128 GB
– รองรับการเชื่อมต่อ 5G
– กล้องหน้าคู่ความละเอียด 44 ล้านพิกเซล และ Super wide angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
– กล้องหลังจำนวน 3 ตัว กล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล, เลนส์ที่สอง Super wide angle/ Super macro / Light speckle bokeh มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และ เลนส์โมโนมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
– มีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลายแบบ
– มีระบบถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือช่วงกลางคืน
– มีโหมดสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ
– ความจุแบตเตอรี่ 4,000 มิลลิแอมป์
– รองรับการชาร์จเร็ว 33W
– ตัวเครื่องบางเพียง 7.39 มิลลิเมตร
– น้ำหนัก 170 กรัม
ข้อดี
– รองรับการเชื่อมต่อ 5G
– ตัวเครื่องบางที่สุดในโลก
– ดีไซน์สวยงาม โค้งมนแบบ 2.5D
– ลดการเกิดรอยนิ้วมือและทนต่อรอยขีดข่วน
– หน้าจอใหญ่ 6.44 นิ้ว แบบ Full HD+
– ปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้าและสแกนนิ้วมือ
– ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 765G
– กล้องหน้ามีความละเอียดสูง
– ถ่ายวีดีโอได้คมชัดระดับ 4K
– มีระบบกันสั่นเมื่อถ่ายภาพเคลื่อนไหว
– รองรับการชาร์จเร็ว 33W
– มีระบบถ่ายภาพให้เลือกใช้หลากหลาย
– มีโหมดสำหรับการเล่นเกมมือถือออนไลน์โดยเฉพาะ
– พอร์ตเชื่อมต่อ USB type C
– มีระบบผู้ช่วย Jovi สามารถใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ได้รวดเร็ว
ข้อเสีย
– ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำจากภายนอก
– ไม่กันน้ำ
– ลำโพงเดี่ยว
– ถูกตัดช่องเสียบหูฟังออก
ราคา : 12,999 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : jd.co.th
ถ้าถามว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นเรือธงของ Vivo ก็ต้องตอบว่ารุ่นนี้เลย เพราะนอกจากหน้าตาจะดูแปลกตากว่ารุ่นอื่นแล้วนั้นก็ยังมีในส่วนของประสิทธิภาพเครื่องที่แรงสุด ๆ นั่นเอง เริ่มกันที่หน้าจอก่อน เป็นหน้าจอขนาด 6.89 นิ้ว แบบ Waterfall Screen displays Full HD+ ความพิเศษคือมีพื้นที่แสดงผลถึง 99.6% กันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะใช้งานทั่วไป แชท ดูหนัง-ซีรี่ส์ หรือเล่นเกมก็เต็มจอเต็มตากันจริง ๆ ถัดมาเป็นระบบการสัมผัสหน้าจอหรือการทัชนั่นเอง ซึ่งรุ่นนี้ทำไว้ดีมาก ๆ มีการใช้ X-Axis Haptic ในการสั่นเมื่อมีการกดที่หน้าจอ แจ้งเตือน พิมพ์ข้อความ และอื่น ๆ สำหรับสเปกเครื่องนั้นก็จัดมาได้โหดโดยใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุดกันไปเลยกับ Snapdragon 855+ ใช้ Ram 8 GB และหน่วยความจำภายในอีก 128 GB สเปกนี้สามารถรันเกมที่มีภาพกราฟฟิกปรับสุดได้ลื่นไหล ไม่มีสะดุด หมดห่วงเรื่องเครื่องร้อนเพราะมีตัวระบายความร้อน Vapor chamber cooling system ความจุแบตเตอรี่ 4,500 มิลลิแอมป์ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง รวมถึงรองรับการชาร์จเร็ว 22.5W อีกด้วย
ในส่วนกล้องหลังนั้นให้มาทั้งหมด 3 ตัว กล้องหลักมีความละเอียด 64 ล้านพิกเซล, เลนส์ Wide angle ให้ภาพมุมกว้าง 120 องศา ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และ เลนส์เทเลโฟโต้ (Telephoto) ที่ซูมได้ถึง 20 เท่า มีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และมีโหมดถ่ายภาพอื่น ๆ ให้เลือกใช้อย่างมากมาย เช่น โหมดหน้าชัดหลังเบลอและโหมด Face Beauty ส่วนในกล้องหน้ามีกิมมิกเล็ก ๆ เป็นกล้องแบบ Pop up ที่สไลด์ออกมาเมื่อมีการใช้งาน และสไลด์เก็บได้เมื่อไม่ได้ใช้งาน มีความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล ซึ่งการสไลด์เข้า-ออกของกล้องแบบนี้ทำให้มีพื้นที่ใช้งานหน้าจอเพิ่มขึ้นเป็น 99.6% นั่นเอง
สเปกของ Vivo NEX 3
– หน้าจอ 6.89 นิ้ว แบบ Waterfall FullView Display Full HD+
– ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 855+ 2.96 GHz
– Ram 8 GB และหน่วยความจำภายใน 128 GB
– กล้องหลัง 3 ตัว กล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล, เลนส์ Wide Angle 13 ล้านพิกเซล และเลนส์เทเลโฟโต้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
– กล้องหน้าเป็นแบบ Pop up ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
– รองรับการเชื่อมต่อ 5G
– รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
– รองรับระบบเสียงระดับ Hi Fi
– รองรับชาร์จเร็ว 22.5W
– ความจุแบตเตอรี่ 4,500 มิลลิแอมป์
ข้อดี
– ราคาเหมาะสมกับประสิทธิภาพของเครื่อง
– มีระบบชาร์จเร็ว เพียง 1 ชั่วโมงแบตฯ เต็ม
– ขอบจอบาง ไม่มีปุ่มกด
– คุณภาพเสียงระดับ Hi-Fi
– สามารถถ่ายภาพด้วยเลนส์ระดับ Macro
– กล้องมีความละเอียดสูง เก็บรายละเอียดได้ดี
– มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
– แบตเตอรี่ใช้ต่อเนื่องได้ยาวนาน
– รองรับการเชื่อมต่อ 5G
– รองรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือช่วงกลางคืน
– ตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียม ทนทาน แข็งแรง
– หน้าจอใหญ่ แสดงผลได้ถึง 99.6%
– ปลดล็อกโทรศัพท์ได้ด้วยการแสกนนิ้วที่จอ
– พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type C
– ใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด Snapdragon 855+
– มีระบบระบายความร้อน Vapor chamber cooling system
– ไร้ปุ่มรบกวน โดยใช้ Touch sense เป็นพื้นผิวสัมผัสด้านข้างแทน
ข้อเสีย
– เพิ่มพื้นที่หน่วยความจำไม่ได้
– กันน้ำไม่ได้
– อาจจะเผลอไปกดปุ่ม Touch sense ได้
ราคา : 15,999 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : jd.co.th
มาถึงรุ่นสุดท้ายกันแล้วกับรุ่น X50 Pro สมาร์ทโฟนรุ่นที่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ครบทุกความต้องการ ทั้งถ่ายรูป, Live ลงโซเชี่ยล หรือเล่นเกมก็ทำได้สบาย ๆ ตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้มีความโค้งมน 3D Curved screen สวยงามในระดับพรีเมี่ยม X-Class ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียม แข็งแรงทนทาน รุ่นนี้จะไม่มีปุ่มกดนูนออกมาจากตัวเครื่องมากนัก แทบจะมองไม่เห็นถึงปุ่มกดเลยด้วยซ้ำ เพราะใช้เป็นระบบสัมผัสทำให้ใช้ gap ของปุ่มในการกดน้อย หน้าจอขนาด 6.56 นิ้ว แบบ Amoled Ultra O Screen Full HD+ หน้าจอโค้งมน 3D สวยงาม ฝาหลังทำมาจากวัสดุที่สามารถลดรอยนิ้วมือและทนต่อแรงขีดข่วนได้ สเปกด้านในตัวเครื่องใช้ชิพเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G ใช้ Ram 8 GB ความจำภายในเครื่อง 256 GB เก็บรูปได้หลายพันรูป หรือจะดาวน์โหลดหนัง เพลง เกมมาเล่นก็เหลือ ๆ สำหรับรุ่นนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อ 5G ด้วย ปลดล็อกหน้าจอได้ด้วยการสแกนใบหน้าและการสแกนลายนิ้วมือ ฟีเจอร์ที่น่าใช้อีกอย่างหนึ่งคือ Multi windows เป็นการเปิดใช้งานแอพพลิเคชั่นได้พร้อมกันถึง 2 หน้าจอ จะสลับแอพฯ ใช้งานก็ลื่นไหลไม่สะดุด สะดวกสุด ๆ เล่นโซเชี่ยลไปด้วย ดูหนังไปด้วยก็ยังได้
และมาถึงหนึ่งในจุดเด่นของ X50 Pro อีกอย่างของรุ่นนี้คือเทคโนโลยี Gimbal ที่นำมาใส่เป็นเลนส์กล้องหลักที่ด้านหลัง ซึ่งทาง Vivo เคลมว่าเป็นรุ่นแรกของโลกที่นำเทคโนโลยีกันสั่นมาใช้กับกล้องในสมาร์ทโฟน ทำให้ป้องกันการสั่นของภาพได้มากถึง 2 เท่า ใช้ได้ทั้งภาพนิ่งและการถ่ายวีดีโอ ทำให้ภาพและคลิปมีความคมชัดมากขึ้น ภาพไม่สั่น ไม่เวียนหัวเวลาดู มีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ต่อมาเป็นเลนส์ Ultra wide ให้มุมมองที่กว้างยิ่งขึ้นกว่า 120 องศา มีความละเอียดอยู่ที่ 13 ล้านพิกเซล กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Periscope ระดับการซูมที่ 5 เท่า มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และสุดท้ายเลนส์ Portrait 8 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดถ่ายภาพแต่งภาพอื่น ๆ ที่เหมาะกับทุกการใช้งาน
สเปกของ X50 Pro
– หน้าจอขนาด 6.56 นิ้ว แบบ AMOLED Full HD+
– อัตรา Refresh Rate หน้าจอ 90Hz
– น้ำหนักตัวเครื่อง 181.5 กรัม
– หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G
– GPU Adreno 620
– RAM 8 GB
– พื้นที่ความจำภายใน 256 GB
– รองรับการเชื่อมต่อ 5G
– กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
– กล้องหลัง 4 ตัว, กล้องหลักมาพร้อมกับระบบกันสั่นสะเทือน Gimbal ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล, กล้องสองเป็นเลนส์ Ultra Wide ให้มุมมองกว้าง 120 องศา มีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กล้องที่ 3 เป็นเลนส์ซูมได้ 5 เท่า มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้องตัวที่ 4 เลนส์ Portrait 8 ล้านพิกเซล
– ระบบปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้าและลายนิ้วมือ
– รองรับการชาร์จเร็ว 33W
– ความจุแบตเตอรี่ 4315 มิลลิแอมป์
– น้ำหนัก 181.5 กรัม
ข้อดี
– ดีไซน์สวยหรู ไล่โทนสีสวยงาม
– มีระบบ Gimbal สำหรับกันสั่นที่กล้องหลัง
– ตัวเครื่องผลิตจากโลหะอลูมิเนียม ทนทาน แข็งแรง
– ฝาหลังออกแบบด้วยวัสดุที่ลดรอยนิ้วมือและทนต่อรอยขีดข่วน
– รองรับการเชื่อมต่อ 5G
– หน้าจอใหญ่ขนาด 6.56 นิ้ว
– มีความละเอียดหน้าจอระดับ Full HD+
– คุณภาพเสียง Hifi
– หน่วยความจำภายในขนาดใหญ่ 256 GB
– มี AI ช่วยในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยและช่วงกลางคืนได้คมชัดขึ้น
– รองรับการชาร์จเร็ว 33W
– ปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้าหรือลายนิ้วมือ
– มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานได้หลากหลาย
– รองรับการถ่ายวีดีโอระดับ 4K
– มีโหมดเฉพาะสำหรับการเล่นเกม
– มาพร้อมกับ Jovi ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำให้เรียกใช้งานในส่วนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
– มีวิทยุ FM ในตัว
– พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type C
ข้อเสีย
– ไม่รองรับหน่วยความจำภายนอก Micro SD Card
– ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก
– ลำโพงเดี่ยว
– ถ้าใช้ 2 ซิมจะไม่สามารถใช้งาน 5G ได้
– ไม่มีช่องสำหรับใช้งานหูฟัง
ราคา : 19,999 บาท
สั่งซื้อได้ที่ : store.ais.co.th
เราจะเห็นได้ว่ามือถือสมาร์ทโฟนยี่ห้อ Vivo ทุกรุ่น นั้นจะเน้นไปด้านการถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอเป็นส่วนใหญ่ สเปกเครื่องก็คุ้มค่ากับราคาค่าตัว ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องการถ่ายภาพ-คลิป ดูหนังฟังเพลง เล่นเกมและการใช้งานทั่วไป สำหรับใครที่กำลังมองหา Smartphone ดี ๆ สักเครื่อง ยี่ห้อ Vivo นั้นสามารถตอบโจทย์คุณได้ โดยมีให้เลือกเปรียบเทียบในราคาหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น ลองพิจารณาดูว่ามือถือรุ่นไหนเหมาะสมกับเราและงบประมาณของเราที่สุด
ข้อมูลเครดิต : vivo.com, whatphone.net
